วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

การอ่านออกเสียงภาษาจีน


 องค์ประกอบของสัทอักษรพินอิน

1. พยางค์
หน่วยเสียงพื้นฐานของระบบเสียงภาษาจีนกลางปัจจุบันคือพยางค์
แต่ละพยางค์ประกอบขึ้นจากหน่วยเสียง 3 ส่วน ได้แก่ พยัญชนะ สระและวรรณยุกต์
โดยทั่วไปแล้ว ตัวอักษรจีน หนึ่งตัวจะอ่านออกเสียงหนึ่งพยางค์
2. พยัญชนะ
พยัญชนะคือเสียงนำที่ขึ้นต้นในแต่ละพยางค์ ในภาษาจีนกลางมีพยัญชนะ
ทั้งหมด 23 เสียง ได้แก่
   b p m  f d  t n l  g  k h  j  q  x  zh  ch  sh  r  z  c  s  y  w.
3. สระ
สระหมายถึงเสียงที่ออกตามหลังพยัญชนะในแต่ละพยางค์ สระในภาษาจีน
แบ่งออกเป็นเสียงสระล้วนและเสียงที่ประกอบขึ้นจากเสียงสระเป็นหลัก
(เนื่องจากระบบเสียงภาษาจีนกลางได้รวมเอา เสียงตัวสะกดไว้กับเสียงสระ
สระประเภทนี้จึงหมายถึงเสียงสระที่ประสมรวมกับเสียงสะกด ซึ่งเทียบได้กับเสียง
ตัวสะกดแม่กน /n/ และแม่กง/ng/ ในภาษาไทย) สระจำนวนหนึ่งสามารถ
ประสมกันกลายเป็นสระประสม และเมื่อเรานำสระมาประสมไว้หลังพยัญชนะ
ก็จะกลายเป็นพยางค์ ในระบบสัทอักษรพินอิน ในภาษาจีนกลางมีสระทั้งหมด 36 เสียง ได้แก่
   a  o  e  i  u  ü  ai   ei  ui   ao  ou   iu   ie  üe   an   en   in        un   ün   ang  eng  ing  ong  er   ia  iao   ian  iang  iong   ua      uo  uai   uan uang  ueng   üan.
4. การอ่านรวมเป็นพยางค
ในภาษาจีนกลาง มีพยัญชนะและสระอยู่จำนวนหนึ่งที่ประสมรวมกันเป็นเสียง
พยางค์เฉพาะ เวลาอ่านเราจะไม่สะกดแบ่งพยางค์ประเภทนี้ออกเป็นเสียงพยัญชนะ
และเสียงสระ แต่จะอ่านรวมออกมา เป็นพยางค์ พยางค์เฉพาะเหล่านี้มีทั้งหมด 16 เสียง ได้แก่
    zhi  chi  shi  ri  zi  ci  si  ye  yi  yin  ying  wu  yu  yue  yun yuan.
5. พยางค์ที่ไม่มีเสียงพยัญชนะ 
นอกจากนี้หน่วยเสียงจำนวนหนึ่งในระบบเสียงภาษาจีนกลางจะไม่มีเสียงพยัญชนะ
พยางค์ประเภทนี้เรียกว่า พยางค์ที่ไม่มีเสียงพยัญชนะ เช่น
   ān 安 (สงบสุข);  a 啊 (คำช่วยน้ำเสียง)
กฎการเขียนสัทอักษรพินอิน
โดยทั่วไป สัทอักษรพินอินของพยางค์ต่างๆ ประกอบขึ้นจากการสะกดรวมของเสียง
พยัญชนะและสระ จากนั้นจึงใส่เสียงวรรณยุกต์ประกอบเข้าไป กฎการเขียนและสะกดพยางค์
ของพยัญชนะและสระมีดังนี้
1. พยัญชนะ j,q,x จะสะกดรวมกับสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง i และ ? เท่านั้น
เมื่อพยัญชนะ j,q,x ประสมกับสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง ? จะต้องลดรูปจุดสองจุดบน ? เช่น
   ji, qi, xi
   jia, qia, xia
   ju, qu, xu
   jue, que, xue
   jun, qun, xun
2. เมื่อพยางค์ที่ประกอบขึ้นจากสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง i และ ? ไม่มีเสียงพยัญชนะมาประกอบ
จะต้องเปลี่ยนรูป i เป็น y และเปลี่ยนรูป u เป็น w เช่น
   ia→ya   uo→wo
3. เมื่อสระ ui,un,iu,? ประกอบขึ้นเป็นพยางค์ด้วยตัวเอง จะต้องเขียนเป็น
   ui→wei   un→wen   iu→you   ü→yu
4. เครื่องหมายคั่นเสียง
เมื่อพยางค์ที่ขึ้นต้นด้วยเสียง a, o, e อยู่หลังพยางค์อื่น และทำให้การสะกดแบ่ง
พยางค์ไม่ชัดเจน เราจะใช้เครื่องหมายคั่นเสียง(’)มาคั่นระหว่างพยางค์ เช่น
   jī'è 饥饿 (หิวโหย); míng'é 名额 (จำนวนโควต้า)
   jiè 借 (ยืม); mín'gē 民歌 (เพลงพื้นบ้าน)


กฎการออกเสียง

1. เสียงวรรณยุกต์พื้นฐาน เสียงวรรณยุกต์พื้นฐานในภาษาจีนกลางมี 4 เสียง ได้แก่   เสียงหนึ่ง เป็นเสียงสูง
   เสียงสอง เป็นเสียงขึ้น
   เสียงสาม เป็นเสียงต่ำ
   เสียงสี่ เป็นเสียงตก
   เสียงวรรณยุกต์ทั้งสี่ใช้เครื่องหมาย ˉ,ˊ,ˇ และˋแแทนตามลำดับ เครื่องหมายวรรณ
ยุกต์ทั้งสี่จะเขียน ไว้บนเสียงหลักของสระในแต่ละพยางค์ (เสียงหลักของสระหมายถึงเสียงที่ต้อง
อ้าปากกว้างและออกเสียงดังที่สุด ในบรรดาเสียงที่ประกอบขึ้นเป็นสระ) เช่น
   qiāng, qiáng, qiǎng, qiàng
   tuī, tuí, tuǐ, tuì
    เสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางมีคุณสมบัติในการแยกความหมาย ดังนั้น หากเสียงวรรณ ยุกต์ต่างกัน ความหมายก็จะต่างไปด้วย
2. เสียงเบา
พยางค์ประเภทหนึ่งเมื่ออยู่หลังพยางค์อื่นแล้วจะต้องอ่านออกเสียงสั้นและเบา
พยางค์ประเภทนี้เรียกว่า เสียงเบา เวลาเขียนพยางค์ที่เป็นเสียงเบาจะไม่ใช้เครื่อง
หมายวรรณยุกต์ใดๆ กำกับ เช่น
   hǎo ma? 好吗 (ดีไหม)
   bō li 玻璃 (แก้ว, กระจก)
3. การกลายเสียง
ในบางครั้งการอ่านพยางค์หลายๆ พยางค์ติดกัน เสียงวรรณยุกต์บางพยางค์จะเกิดการ
เปลี่ยนแปลง เสียงอ่านจะไม่เหมือนกับเวลาอ่านพยางค์นั้นโดยลำพัง การเปลี่ยนแปลงของ
เสียงวรรณยุกต์แบบนี้เรียกว่า การกลายเสียง รูปแบบการกลายเสียงมี 3 แบบด้วยกัน คือ

• เมื่อวรรณยุกต์เสียงสามอยู่ติดกันสองพยางค์ เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หน้าจะกลาย
เสียงเป็นวรรณยุกต์เสียงสอง (แต่เวลาเขียน ให้คงเครื่องหมายวรรณยุกต์เดิม คือ
เครื่องหมายวรรณยุกต์เสียงสามไว้) เช่น 你好“nǐ hǎo” ก็ต้องออกเสียงเป็น “ní hǎ
• เมื่อพยางค์วรรณยุกต์เสียงสามอยู่หน้าพยางค์วรรณยุกต์เสียงหนึ่ง เสียงสอง เสียงสี่และ
พยางค์เสียงเบาส่วนใหญ่ จะต้องกลายเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียง “ครึ่งเสียงสาม” วรรณยุกต์เสียง
“ครึ่งเสียงสาม”ก็คือ การออกเสียงสามเพียงครึ่งเสียงแรกที่เป็นเสียงตก เช่น
   lǎo shī 老师 (ครู, อาจารย์)
   yǔ yán 语言 (ภาษา)
   • คำว่า “不” และ “一” ในภาษาจีนกลางจะมีการกลายเสียงเฉพาะ กล่าวคือ เมื่อ “不”
และ “一” อยู่หน้าพยางค์เสียงสี่หรือพยางค์เสียงเบาที่กลายมาจากเสียงสี่ จะต้องออกเสียงว่า
“bú” และ “yí” ตามลำดับ เช่น
bú shì 不是; yí gè 一个
แต่หากสองคำนี้อยู่หน้าพยางค์เสียงหนึ่ง เสียงสองและเสียงสาม ก็ยังคงออกเสียงเป็นเสียง
สี่ตามเดิมว่า “bù” และ “yì” เช่น
bù shuō 不说; bù lái 不来; bù hǎo 不好
yì tiān 一天; yì nián 一年; yì qǐ 一起

4. พยางค์เสริมท้ายด้วยเสียง er
พยางค์เสริมท้ายด้วยเสียง er หมายถึง พยางค์ที่เกิดจากการเพิ่มเสียง er(-r)
ต่อข้างท้ายเสียงสระ ในภาษาจีนกลางมีคำจำนวนมากที่มีการเสริมท้ายด้วยเสียง er
เวลาเขียนสัทอักษรพินอินให้เพิ่มตัว r ต่อท้ายสระ หากเขียนเป็นตัวอักษรจีนให้เขียนตัว “儿”
ต่อท้ายคำ เช่น
gēr 歌儿 (เพลง); huār 花儿 (ดอกไม้)
หากเป็นพยางค์มีสระที่ลงท้ายด้วยเสียง –i หรือ –n เมื่อจะประกอบเป็นพยางค์เสริมท้าย
ด้วยเสียง er ก็จะไม่ออกเสียง –i หรือ -n เช่น
xiǎo háir 小孩儿 (เด็ก); wánr 玩儿 (เล่น)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น